การดูแลผิวด้วยเครื่องสำอางเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่รู้หรือไม่ว่า ส่วนผสมในเครื่องสำอางที่เราใช้ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวในระยะยาว รวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย การเลือกเครื่องสำอาง “ออร์แกนิก” หรือ “ธรรมชาติ” จึงเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ แต่จะเลือกแบบไหนดี? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกว่า Organic กับ Natural ต่างกันยังไง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และเลือกเครื่องสำอางที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
Organic VS Natural ต่างกันยังไง
ผลิตภัณฑ์ Organic (ออร์แกนิก) คืออะไร

ผลิตภัณฑ์ Organic (ออร์แกนิก) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นจากวัตถุดิบที่ปลูกหรือเลี้ยงโดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือฮอร์โมน ตลอดกระบวนการผลิตตั้งแต่การเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ จะต้องปราศจากสารเคมีสังเคราะห์และเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้โดยหน่วยงานรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก เช่น USDA Organic (สหรัฐอเมริกา) หรือ ECOCERT (ยุโรป) ซึ่งเป็นการรับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ความพิเศษของผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก อยู่ที่การเน้นคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีการใช้สารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การผลิตสินค้าออร์แกนิกยังส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
มาตรฐาน Organic มีกี่ระดับ
ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก แบ่งออกเป็นหลายระดับ โดยขึ้นอยู่กับสัดส่วนของส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิกในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ และมาตรฐานการรับรองของแต่ละประเทศ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีการแบ่งระดับที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยมาตรฐาน USDA Organic (สหรัฐอเมริกา) เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และมีการแบ่งระดับดังนี้
- 100% Organic: ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นออร์แกนิก 100% ทุกส่วนผสมต้องผ่านกระบวนการผลิตแบบออร์แกนิกทั้งหมด
- Organic: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิกอย่างน้อย 95% ขึ้นไป และส่วนผสมที่เหลืออีก 5% ต้องเป็นวัตถุดิบที่ไม่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม
USDA Organic certification logo - Made with Organic Ingredients: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิกตั้งแต่ 70% ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 95%
- Some Organic Ingredients: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิกต่ำกว่า 70%
มาตรฐานของประเทศอื่น ๆ อาจมีการแบ่งระดับที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่โดยหลักการแล้วก็จะคล้ายคลึงกัน คือเน้นที่สัดส่วนของส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิก และมีการกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับการใช้ฉลากหรือเครื่องหมายรับรอง
ข้อดี-ข้อเสียของผลิตภัณฑ์ Organic
ข้อดี
- ปลอดภัยจากสารเคมี: ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น สารเคมีกำจัดศัตรูพืช สารปรุงแต่งอาหาร และยาปฏิชีวนะ ทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง
- ดีต่อสุขภาพโดยรวม: ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกจะมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป
- เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: การผลิตแบบออร์แกนิกช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปนเปื้อนของสารเคมีในดินและแหล่งน้ำ ช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
ข้อเสีย
- ราคาสูง: ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกมักมีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า
- ต้องตรวจสอบฉลาก: ผู้บริโภคต้องตรวจสอบฉลากอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ได้รับการรับรอง
ผลิตภัณฑ์ Natural (เนอเชอรัล) คืออะไร

ผลิตภัณฑ์ Natural (เนอเชอรัล) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นโดยมีส่วนประกอบหลักมาจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุต่าง ๆ ที่พบได้ในธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางที่ใช้น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง หรือสมุนไพรต่าง ๆ อาหารเสริมที่สกัดจากพืช หรือสบู่ที่ทำจากน้ำมันมะพร้าว เป็นต้น โดยทั่วไปผู้บริโภคมักจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพราะเชื่อว่าจะปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์
กระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ นั้นมีความหลากหลายมาก อาจมีการนำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาผ่านกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างเรียบง่าย เช่น การคั้น การบีบ หรือการต้ม เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ หรืออาจมีการนำวัตถุดิบไปผ่านกระบวนการทางเคมีบ้างเล็กน้อย เช่น การสกัดสารสำคัญ หรือการปรับปรุงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการใช้กระบวนการทางเคมีเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ยังคงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติตราบใดที่วัตถุดิบหลักยังคงมาจากธรรมชาติ
ข้อดี-ข้อเสียของผลิตภัณฑ์ Natural (เนอเชอรัล)
ข้อดี
- ความปลอดภัย: ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจะมีส่วนผสมที่มาจากพืช หรือแร่ธาตุ ซึ่งมีความปลอดภัยและอ่อนโยนต่อร่างกายมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารเคมีสังเคราะห์
- ผลข้างเคียงน้อย: เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมีส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ เลยมีผลข้างเคียงน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารเคมีสังเคราะห์
- เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้นผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารเคมีสังเคราะห์
- ความหลากหลาย: ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมีความหลากหลายให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ข้อเสีย
- ราคา: ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมักจะมีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารเคมีสังเคราะห์
- อายุการเก็บรักษา: ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติบางชนิดอาจมีอายุการเก็บรักษาสั้นกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารเคมีสังเคราะห์
- อาการแพ้: บางคนอาจมีอาการแพ้ส่วนผสมบางชนิดในผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
สรุปใจความได้ว่า ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกจะเน้นการผลิตที่ปราศจากสารเคมีตั้งแต่ต้นทาง แต่ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติก็อาจมีส่วนผสมที่ได้จากธรรมชาติและมีคุณภาพสูงเช่นกัน ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและการคัดเลือกวัตถุดิบ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกหรือธรรมชาติ ก็ควรเลือกซื้อจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมีมาตรฐานในการผลิต
Organic กับ Natural เลือกผลิตแบบไหนดี

การเลือกผลิตครีมสำหรับเจ้าของแบรนด์ โดยเลือกระหว่าง Organic กับ Natural ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ดังนี้
- ความต้องการของตลาด ศึกษาเทรนด์และความนิยมของผู้บริโภคในตลาดเป้าหมาย หากตลาดให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสุขภาพ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ Organic
- ต้นทุนการผลิต ผลิตภัณฑ์ Organic มีต้นทุนสูงกว่า Natural เนื่องจากกระบวนการผลิตที่เข้มงวดและวัตถุดิบคุณภาพสูง เลยต้องพิจารณาความสามารถในการทำกำไรจากราคาขายที่เหมาะสม
- คุณภาพของส่วนผสม เลือกวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพสูงในการดูแลผิว เช่น สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยฟื้นฟูและป้องกันปัญหาผิว ซึ่งการเลือกสารสกัดที่มีคุณสมบัติ Whitening Agent เป็นทางเลือกที่ดีในการดึงดูดลูกค้า
- การรับรองมาตรฐาน หากเลือกผลิตภัณฑ์ Organic ควรตรวจสอบการรับรองมาตรฐานจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
คำถามที่พบได้บ่อย (FAQs)
ความแตกต่างระหว่างออร์แกนิกกับธรรมชาติ 100% มีอะไรบ้าง?
ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและธรรมชาติ 100% นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน แม้ว่าทั้งสองจะเน้นใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติก็ตาม ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกมีมาตรฐานที่เข้มงวดกว่า โดยต้องปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์โดยปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิด และต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น USDA Organic ทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองนั้นปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ 100% นั้นไม่มีมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน อาจมีการผสมสารเคมีบางชนิดที่ได้จากธรรมชาติเข้าไปได้ ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถมั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัยเท่ากับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ดังนั้น หากต้องการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีตราสัญลักษณ์รับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้
ผลิตภัณฑ์ Vegan (วีแกน) ต่างจาก Organic และ Natural ยังไง?
ผลิตภัณฑ์วีแกนจะไม่ใช้ส่วนผสมใด ๆ ที่มาจากสัตว์ โดยมุ่งเน้นไปที่หลักการไม่เบียดเบียนสัตว์ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเน้นที่การผลิตโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่ปลูกหรือเลี้ยงโดยปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ส่วนผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ 100% นั้นเน้นว่าส่วนประกอบหลักมาจากธรรมชาติ แต่ไม่ได้มีมาตรฐานที่เข้มงวดเท่ากับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกนั่นเอง
สรุป
ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกคือผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ตลอดกระบวนการผลิต โดยต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น USDA หรือ ECOCERT ส่วนผลิตภัณฑ์เนเชอรัลคือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลักจากธรรมชาติ แต่อาจมีกระบวนการผลิตที่ใช้สารเคมีบ้าง มาตรฐานออร์แกนิกมีหลายระดับ ตั้งแต่ 100% Organic จนถึง Some Organic Ingredients
หากกำลังมองหาโรงงานผลิตเครื่องสำอาง ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ Dermageneration สามารถสร้างแบรนด์ของคุณเองด้วยผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกแท้ 100% ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล มั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัย เราพร้อมให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาสูตรเฉพาะจนถึงการออกแบบฉลากที่ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นในตลาด และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูล Organic และ Natural
Refreshbotanicals. February 17, 2023. Natural vs Organic Skin Care products: Is There Really a Difference?
Elisabeth Anderson, Jinpeng Li, and Joe Zagorski. October 12, 2020. Trending – Natural, Organic & Conventional Cosmetics
https://www.canr.msu.edu/news/cosmetics-natural-organic-conventional