สำหรับผู้ที่ประสบพบเจอกับปัญหาสิวอาจจะรู้จัก หรือเคยได้ยินสาร BHA กันมาบ้าง เพราะเป็นสารที่นิยมนำมาใส่เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ที่มีคุณสมบัติหลักคือแก้ปัญหาสิว ช่วยลดปัญหาสิวได้ แต่ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักสารนี้เพิ่มมากขึ้นว่า BHA คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง หรือความเชื่อที่หลาย ๆ คนบอกคือใช้แล้วทำให้สิวขึ้นเห่อ หรือดันสิวจริงไหมเรามาหาคำตอบไปด้วยกัน
BHA คืออะไร

BHA ย่อมาจาก Beta Hydroxy Acid หรือคือ กรด ซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่เป็นกรด BHA ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางที่นิยมนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า โดยมีความแตกต่างจาก AHA ที่สามารถละลายในไขมันได้ จึงสามารถแทรกซึมเข้าไปในขั้นผิวและช่วยละลายเซลล์ที่ตายแล้วได้ และละลายไขมันที่อุดตันตามรูขุมขน ลดโอกาสการเกิดการอุดตันในชั้นรูขุมขน อีกทั้งยังช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียบนผิวหน้าและลดการอุดตัน จึงเหมาะกับการแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวได้เป็นอย่างดี
BHA ข่วยอะไรบ้าง และมีประโยชน์อย่างไร

BHA นั้นเป็นตัวช่วยในการทำความสะอาดผิว ละลายน้ำมันส่วนเกินในรูขุมขน นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวและสร้างประโยชน์ให้กับผิวได้ดังนี้
- ช่วยสลายสิ่งที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน
- ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน
- ช่วยในการลดความมันส่วนเกินบนผิว
- ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก
- ช่วยทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น
- ลดการระคายเคืองของผิว
- ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียในรูขุมขน สาเหตุของการเกิดสิว
- ช่วยลดริ้วรอยให้ตื่นขึ้น และลดจุดด่างดำ ให้จางลง
BHA ห้ามใช้กับอะไร
BHA ห้ามใช้กับ Vitamin C เนื่องจากไม่ควรจับคู่ความเป็นกรด และส่วนผสมที่มีการผลัดเซลล์ผิวเข้าด้วยกัน เพราะจะทำให้ผิวอ่อนแอ เป็นการรบกวนผิวมากเกินไป จนทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น ปัญหาผิวบาง ปัญหาผิวเป็นฝ้า กระ และปัญหาสิว
BHA ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยกับผิว
การใช้ BHA ให้ปลอดภัยและเกิดประสิทธิภาพต่อผิวมากที่สุด คือในช่วงแรกที่เพิ่งเริ่มใช้นั้นให้ผิวได้มีการปรับตัวโดยใช้ BHA ที่มีความเข้มข้นต่ำประมาณ 0.5-2% เพื่อไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคือง แสบ คัน หรือแดงและลอกเป็นขุย และควรใช้ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หากผิวสามารถปรับตัวได้แล้วค่อยเพิ่มความถี่อาจเป็นวันเว้นวันได้
BHA เหมาะกับการใช้กับสภาพผิวแบบไหน
แนบรูป
BHA เป็นกรดที่สามารถละลายในไขมันได้ดี และสามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกและสิ่งอุดตันที่อยู่ในรูขุมขนได้อย่างดี ลดปัญหาการเกิดสิว ลดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า และยังช่วยกระชับรูขุมขน ลดการอักเสบและการระคายเคืองของผิว ดังนั้น BHA จึงเหมาะกับผู้ที่มีสภาพผิวมัน ผิวผสม ผิวบอบบางแพ้ง่าย และผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
ความแตกต่างระหว่าง BHA VS AHA
BHA (Beta Hydroxy Acid) | AHA (Alpha Hydroxy Acid) |
ละลายในไขมัน | ละลายในน้ำ |
ซึมผ่านขั้นไขมัน ซึ่งซึมลงสู่ผิวได้มากกว่า AHA | ไม่ซึมผ่านชั้นไขมัน |
เหมาะกับสภาพผิวมัน ผิวผสม ผู้ที่มีสิว และรูขุมขนกว้าง | เหมาะกับสภาพผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ ผู้ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ |
ทำความสะอาดรูขุมขน ลดการอุดตัน และลดการอักเสบ | ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น |
ข้อแนะนำการใช้เครื่องสำอางที่มีสาร BHA
BHA เป็นกรดที่ช่วยในการแก้ปัญหาสิว ลดการเกิดสิว ทำความสะอาดรูขุมขนลดการเกิดการอุดตัน รวมถึงช่วยผลัดเซลล์ผิวได้นั้น แต่ก็มีข้อควรระวังหากมีการใช้ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางที่มีสาร BHA ดังนี้
- ไม่ควรใช้ BHA ที่มีความเข้มข้นสูงกว่า 2% เพื่อไม่ทำให้หน้าเกิดความระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงแสงแดดหากมีการใช้หรือทา BHA
- ไม่ควรทา BHA ใกล้ดวงตา จมูก หรือปาก
- ทากันแดดทุกครั้งหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร BHA
- ไม่ควรใช้ BHA บริเวณที่มีแผล ผื่นแดง หรือผิวแตก
- งดการใช้ BHA ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ เรตินอยด์ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และอนุพันธ์วิตามินดี
- งดการใช้ BHA ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคผิวหนัง โรคระบบไหลเวียนเลือด รวมถึงผู้ที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ BHA
BHA มีแบบไหนบ้าง เลือกใช้อย่างไรดี

BHA นั้นควรเลือกใช้ให้เหมาะกับปัญหาผิว สภาพของผิว ความชอบของเนื้อสัมผัส โดยเริ่มจากการใช้ BHA ที่มีความเข้มข้นที่ต่ำที่สุดก่อน โดย BHA มีรูปแบบที่ใช้ในการรักษาดูแลผิวหน้า ดังนี้
- ชนิดน้ำ (Liquid) จะมีความซึบซาบที่รวดเร็ว เหมาะกับทุกสภาพผิว
- ชนิดเจล มีเนื้อสัมผัสที่หนาขึ้นกว่าชนิดน้ำแต่ยังบางเบาอยู่ เหมาะกับสภาพผิวธรรมดา ผิวผสม ไปจนถึงผิวมัน
- ชนิดโลชั่น มีเนื้อสัมผัสที่เข้มข้นสูง จึงเหมาะกับผู้ที่มีสภาพผิวที่แห้ง
- ชนิดที่มีความเข้มข้นของ BHA 0.5-1% จะเหมาะกับผู้ที่มีสภาพผิวที่แพ้ง่าย และบอบบางมาก ๆ
Q&A คำถามที่พบบ่อย
BHA ดันสิว ทำให้สิวเห่อไหม
การใช้ BHA เป็นการทำความสะอาดรูขุมขน ลดการอุดตันที่ทำเกิดเป็นปัญหาสิว หากใช้ปริมาณมากเกินอาจทำให้ผิวหน้าระคายเคืองและเกิดผื่นแดงได้ แต่ไม่ช่วยให้ดันสิว หรือกระตุ้นให้เกิดการเกิดสิว โดยตัวที่กระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นเยอะกว่าเดิมได้หากมีการใช้ปริมาณที่มากเกินไปคือ AHA
BHA กับ Salicylic Acid ต่างกันอย่างไร
Salicylic Acid หรือ กรด ซาลิไซลิก เป็นหนึ่งในกรดของ BHA ซึ่งในธรรมชาติจะพบเป็นฮอร์โมนพืช ที่นิยมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้านั้นจะเป็นสารสกัดมาจากเปลือกต้นหลิวจีน (Willow) หรือจากพริก ที่สามารถละลายในไขมันได้ดี ซึมลึกลงผิว ช่วยในการทำความรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก
BHA ไม่ควรใช้ตอนไหน
ไม่ควรใช้ BHA ตอนที่หน้ามีความบอบบางมาก หรือมีการตากแดดเป็นเวลานาน หรือไม่ควรใช้ตอนที่มีการใช้ยารักษาสิว เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือ เรตินอยด์ (Retinoids)
BHA สามารถใช้ทุกวันได้ไหม
ไม่แนะนำให้ใช้ BHA ทุกวัน โดยในช่วงแรงที่เริ่มใช้แนะนำให้ใช้ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก่อน และเริ่มที่ BHA ที่มีความเข้มข้นหรือเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำ เพื่อให้ผิวได้ปรับตัว หลังจากที่ผิวปรับตัวได้แล้วนั้นอาจจะเพิ่มเป็นใช้วันเว้นวันได้
BHA กับ Niacinamide ใช้ร่วมกันได้ไหม
BHA กับ Niacinamide นั้นสามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาความเข้มข้นของสารที่ใช้ หรือสูตรของแต่ละตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองผิว แต่หากไม่มั่นใจสามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อความปลอดภัยได้
BHA ควรทาทิ้งไว้บนหน้ากี่นาที
เนื่องจาก BHA มีความเข้มข้นของกรดที่แตกต่างกัน โดยแต่ละความเข้มข้นนั้นก็มีผลต่อประสิทธิภาพของ BHA เพราะฉะนั้นเราควรทา BHA ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที จึงค่อยทาครีมบำรุงตัวอื่น ๆ ทับลงไป เพื่อให้ BHA มีประสิทธิภาพต่อผิวมากที่สุด
BHA ทำให้ผิวไวต่อแสงจริงไหม
หากมีการใช้ BHA ที่มีปริมาณความเข้มข้นที่สูง อาจจะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดได้ รวมถึง เกิดการระคายเคือง ผื่นแดง หรือผิวลอก หรืออาจทำให้ภูมิต้านทานโรคของเซลล์ผิวหนังต่ำลงไปด้วย เพราะฉะนั้นควรเลือกใช้ BHA ที่มีปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสม และทาครีมกันแดดทุกครั้งหลังจากที่มีการใช้ BHA
สรุป
BHA นั้นมีคุณสมบัติและประโยชน์มากมาย จึงเป็นที่นิยมนำมาเป็นหนึ่งในส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ทั้งช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ลดโอกาสการเกิดการอุดตันในชั้นรูขุมขน ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียบนผิวหน้าและลดการอุดตัน จึงเหมาะกับการแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเลือกใช้ในปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสม และใช้อย่างถูกต้อง โดยไม่ควรใช้ที่ความเข้มข้นเกิน 2% และไม่ควรใช้เป็นประจำทุกวัน เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพจากการใช้งาน และความปลอดภัยต่อผิวหน้าของเรานั่นเอง