สกินแคร์มีอะไรบ้าง

สกินแคร์ (Skincare) มีอะไรบ้าง? แตกต่างกันอย่างไร เลือกใช้แบบไหนดี

สกินแคร์ดูแลผิวไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยความงามเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการรักษาสุขภาพผิวและความเป็นอยู่ที่ดีของผิวของคุณด้วย สกินแคร์ที่ดีจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตั้งแต่สิวและผิวแห้ง ไปจนถึงสัญญาณแห่งวัย แล้วสกินแคร์มีอะไรบ้าง? ในบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสกินแคร์ดูแลผิวประเภทต่าง ๆ และวิธีเลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของคุณ

สกินแคร์ คืออะไร? 

สกินแคร์ คืออะไร

สกินแคร์ คือผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อดูแล บำรุง และฟื้นฟูผิวทั้งผิวหน้าและผิวกาย ช่วยให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี และดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น สกินแคร์แต่ละชนิดมีหน้าที่และคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสภาพผิวที่หลากหลาย

ประเภทของสกินแคร์ มีอะไรบ้าง

สกินแคร์ มีอะไรบ้าง

สกินแคร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

  • สกินแคร์ปกป้องผิว ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอกที่ทำร้ายผิว เช่น รังสียูวี มลภาวะ และอนุมูลอิสระ เช่น ครีมกันแดด, สกินแคร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
  • สกินแคร์บำรุงผิว ทำหน้าที่เติมความชุ่มชื้น บำรุงผิวให้แข็งแรง กระจ่างใส และเรียบเนียน เช่น เซรั่ม, มอยส์เจอไรเซอร์, โลชั่น
  • สกินแคร์รักษาผิว ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย และความหมองคล้ำ เช่น สกินแคร์รักษาสิว, สกินแคร์ลดเลือนริ้วรอย, สกินแคร์ลดเลือนจุดด่างดำ

รู้จักสภาพผิว เพื่อเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับผิว

เลือกใช้สกินแคร์อย่างไรให้เหมาะกับผิวหน้า

การเลือกสกินแคร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว จะช่วยให้สกินแคร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดโอกาสในการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้ว สภาพผิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้

1. ผิวแห้ง (Dry Skin)

รูขุมขนเล็กละเอียด ผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุยได้ง่าย โดยเฉพาะหลังล้างหน้า อาจมีอาการคัน แสบ แดง หรือระคายเคือง ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยคือผิวขาดความชุ่มชื้น ริ้วรอยก่อนวัย ผิวแพ้ง่าย

2. ผิวมัน (Oily Skin)

ผิวหน้ามันเงา โดยเฉพาะบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก คาง) ซึ่งปัญหาที่พบบ่อย สิวอุดตัน สิวเสี้ยน รูขุมขนกว้าง

3. ผิวผสม (Combination Skin)

มีทั้งบริเวณผิวแห้ง (U-zone: รอบดวงตา แก้ม คาง) และผิวมัน (T-zone) มักมีรูขุมขนกว้างและเป็นสิวง่าย โดยปัญหาที่พบบ่อยคือความไม่สมดุลของความชุ่มชื้น สิวบริเวณ T-zone

4. ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin)

ผิวบอบบาง ไวต่อสารเคมี มลภาวะ และแสงแดด มีแนวโน้มเป็นผื่น แดง คัน หรือแสบร้อนได้ง่าย ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยคือผิวระคายเคือง ผื่นแพ้ สิวอักเสบ

5. ผิวธรรมดา (Normal Skin)

ผิวมีความสมดุล ไม่แห้งและไม่มันจนเกินไป ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส รูขุมขนเล็กละเอียด และไม่ค่อยมีปัญหาผิว

สกินแคร์มีอะไรบ้าง? รู้จักผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทุกประเภท

มีสกินแคร์มากมายที่ช่วยดูแลผิวให้สุขภาพดี ตั้งแต่สกินแคร์ที่ทำความสะอาดผิวไปจนถึงสกินแคร์บำรุงผิวเฉพาะจุด มาทำความรู้จักสกินแคร์ดูแลผิวทุกประเภท ดังนี้

1. เมคอัพรีมูฟเวอร์ ตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดผิวหน้า

เมคอัพรีมูฟเวอร์ หรือคลีนซิ่ง คือสกินแคร์ที่ออกแบบมาเพื่อขจัดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้าอย่างหมดจด เพราะการล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ทั่วไปอาจไม่เพียงพอต่อการขจัดเครื่องสำอาง โดยเฉพาะรองพื้น บีบีครีม ไพรเมอร์ และครีมกันแดด ซึ่งอาจก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนและปัญหาสิวตามมา การใช้เมคอัพรีมูฟเวอร์ก่อนล้างหน้าจะช่วยขจัดคราบเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกได้อย่างล้ำลึก มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ โดยแต่ละประเภทก็มีวิธีการใช้งานและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ดังนั้น

  • คลีนซิ่งวอเตอร์ (Cleansing Water) มีลักษณะเป็นน้ำใส เนื้อบางเบา เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบความเหนอะหนะ ใช้โดยการหยดลงบนสำลีแล้วเช็ดทำความสะอาดผิวหน้า เหมาะสำหรับการแต่งหน้าเบา ๆ แต่สำหรับเครื่องสำอางกันน้ำ อาจต้องใช้สกินแคร์อื่นร่วมด้วย
  • คลีนซิ่งมิลค์ (Cleansing Milk) มีเนื้อคล้ายโลชั่น เหมาะสำหรับการแต่งหน้าแบบไม่ลงรองพื้น ใช้โดยการนวดเบา ๆ บนผิวหน้าแล้วเช็ดออกด้วยสำลีชุบน้ำ
  • คลีนซิ่งออยล์ (Cleansing Oil) มีส่วนผสมของน้ำมัน เหมาะสำหรับเครื่องสำอางกันน้ำ ใช้โดยการนวดลงบนผิวหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • คลีนซิ่งเจล (Cleansing Gel) มีเนื้อเจล เหมาะสำหรับการแต่งหน้าเบา ๆ ใช้โดยการนวดลงบนผิวหน้าจนเนื้อเจลเริ่มเหลว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. คลีนเซอร์ 

คลีนเซอร์ คือสกินแคร์ทำความสะอาดผิวหน้า ที่ใช้หลังจากเช็ดเครื่องสำอางออกแล้ว หรือใช้ในตอนเช้าเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกและความมันส่วนเกินที่เกิดขึ้นระหว่างนอนหลับ คลีนเซอร์ช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก ซึ่งคลีนเซอร์มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ ดังนี้

  • สบู่ก้อน (Soap) มีค่า pH สูง ทำให้ทำความสะอาดสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจด อาจทำให้ผิวแห้งตึงหลังใช้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง
  • เจลล้างหน้า (Gel) มีทั้งแบบมีฟองและไม่มีฟอง เนื้อสัมผัสบางเบา เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน ช่วยควบคุมความมันส่วนเกิน
  • โฟมล้างหน้า (Foam) เป็นคลีนเซอร์ที่ได้รับความนิยม มีลักษณะเป็นเนื้อครีม เมื่อผสมกับน้ำจะเกิดฟอง ซึ่งจะช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกิน
  • ครีมล้างหน้า (Cream Cleanser) มีลักษณะเป็นเนื้อครีมเข้มข้น เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวขณะทำความสะอาด
  • คลีนซิ่งบาล์ม (Cleansing Balm) มีลักษณะเป็นเนื้อบาล์มเข้มข้น เมื่อสัมผัสกับผิวจะเปลี่ยนเป็นเนื้อออยล์ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแห้งและผิวที่ต้องการความชุ่มชื้น จะช่วยขจัดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจด

3. โทนเนอร์ 

หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่งและคลีนเซอร์แล้ว การใช้โทนเนอร์เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้าได้อย่างหมดจด และช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้ผิวแข็งแรงและพร้อมรับการบำรุง ช่วยให้สกินแคร์ในขั้นตอนต่อไปซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

4. เอสเซนส์ ตัวช่วยบำรุงผิว เพื่อผิวชุ่มชื้น

เอสเซนส์ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “น้ำตบ” เป็นสกินแคร์บำรุงผิวหน้าที่มีเนื้อสัมผัสบางเบาคล้ายน้ำเหลวใส ออกแบบมาเพื่อใช้เป็นขั้นตอนแรกของการบำรุงผิว ช่วยเติมความชุ่มชื้น

5. เซรั่ม ตัวช่วยบำรุงผิวเข้มข้น 

สกินแคร์ ช่วยอะไร

เซรั่มมีเนื้อสัมผัสเข้มข้นกว่าเอสเซนส์ ทำให้สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึกและเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วกว่า เซรั่มมักมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่เข้มข้น เช่น วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ และเปปไทด์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น ริ้วรอย สิว จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ

6. อีมัลชั่น 

อีมัลชั่นเป็นสกินแคร์บำรุงผิวที่อยู่ระหว่างโลชั่นและครีม มีเนื้อสัมผัสบางเบาคล้ายโลชั่น แต่ให้ความชุ่มชื้นได้ดีกว่า เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวผสมและผิวมันที่ต้องการความชุ่มชื้นแต่ไม่ต้องการความเหนอะหนะ

7. โลชั่น เติมความชุ่มชื้นและปกป้องผิว

โลชั่นไม่ได้มีไว้สำหรับบำรุงผิวกายเท่านั้น แต่ยังมีโลชั่นสำหรับบำรุงผิวหน้าด้วย โดยโลชั่นบำรุงผิวหน้าจะมีเนื้อสัมผัสที่เข้มข้นกว่าอีมัลชั่น แต่บางเบากว่าครีม เนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันมากกว่าอีมัลชั่น แต่มีปริมาณน้ำมันน้อยกว่าครีม

8. ครีม เติมความชุ่มชื้นล้ำลึก

ครีมเป็นสกินแคร์บำรุงผิวที่มีเนื้อสัมผัสเข้มข้นที่สุดในบรรดามอยส์เจอไรเซอร์ทั้งหมด เนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณมาก ทำให้ครีมสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หรือใช้ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศแห้ง

9. ผลิตภัณฑ์กันแดด เกราะป้องกันผิวจากรังสียูวีตัวร้าย

ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นสกินแคร์ขั้นตอนสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ เพื่อปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตรายต่อผิว รังสียูวีสามารถทำทำให้ผิวเหี่ยวย่นเกิดจุดด่างดำ ฝ้ากระ และร้ายแรงที่สุดคือมะเร็งผิวหนัง

ลำดับการใช้สกินแคร์อย่างถูกวิธี

สกินแคร์ วิธีใช้

การเรียงลำดับการใช้สกินแคร์ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สกินแคร์บำรุงผิวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. เริ่มต้นด้วยการเช็ดเครื่องสำอางและล้างหน้าให้สะอาด 
  2. ตามด้วยโทนเนอร์เพื่อปรับสมดุลผิว 
  3. จากนั้นบำรุงด้วยเอสเซนส์ เซรั่ม อีมัลชั่น โลชั่น และครีมตามลำดับ โดยเรียงจากเนื้อสัมผัสบางเบาไปจนถึงเข้มข้น 
  4. ปิดท้ายด้วยครีมกันแดดในตอนเช้า 

เคล็ดลับเพิ่มเติมคือรอให้สกินแคร์แต่ละชนิดซึมเข้าสู่ผิวก่อนลงสกินแคร์ถัดไป และปรับลำดับการดูแลผิวตามช่วงเวลา โดยเน้นการปกป้องผิวในตอนเช้า และบำรุงฟื้นฟูในตอนเย็น 

วิธีการเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิวของคุณ

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและหลีกเลี่ยงปัญหาผิวต่าง ๆ มาดูการเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละประเภท ดังนี้

1. ผิวแห้ง (Dry Skin)

สกินแคร์ ผิวแห้ง

เลือกสกินแคร์ที่มีเนื้อสัมผัสเข้มข้น เช่น บาล์ม ครีม หรือออยล์ เพื่อช่วยเคลือบผิวและกักเก็บความชุ่มชื้น ควรมองหาส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น ไฮยาลูโรนิกแอซิด เซราไมด์ และน้ำมันธรรมชาติ และควรหลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำหอม เพราะอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากขึ้น

2. ผิวมัน (Oily Skin)

เลือกสกินแคร์ที่มีเนื้อสัมผัสบางเบา เช่น เจล โลชั่น หรือเซรั่ม เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันรูขุมขน  ควรใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยควบคุมความมัน เช่น กรดซาลิไซลิก และไนอาซินาไมด์ และหลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีน้ำมันหรือส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน

3. ผิวผสม (Combination Skin)

เลือกสกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผิวผสม หรือใช้สกินแคร์ที่แตกต่างกันในบริเวณ T-zone (ผิวมัน) และ U-zone (ผิวแห้ง) ควรเลือกใช้สกินแคร์ที่มีเนื้อเจล หรือโลชั่น สำหรับบริเวณ T-Zone และใช้สกินแคร์ที่มีเนื้อบาล์ม หรือออยล์สำหรับบริเวณ U-Zone ควรมองหาส่วนผสมที่ช่วยปรับสมดุลความมันและความชุ่มชื้น เช่น ไฮยาลูโรนิกแอซิด และสารสกัดจากชาเขียว

4. ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin)

เลือกสกินแคร์ที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ดังนั้น ควรทดสอบสกินแคร์ใหม่ ๆ บนบริเวณเล็ก ๆ ของผิวหนังก่อนใช้ทั่วใบหน้า ควรเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดการระคายเคือง เช่น อะโลเวรา และคาโมมายล์

5. ผิวธรรมดา (Normal Skin)

เลือกสกินแคร์ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวและคงความสมดุล และเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นและสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถเลือกใช้สกินแคร์ได้หลากหลายประเภท

คำถามที่พบได้บ่อย (FAQs)

สกินแคร์พื้นฐานควรมีอะไรบ้าง

สกินแคร์พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกคนมีควรมีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว มอยส์เจอไรเซอร์ ผลิตภัณฑ์กันแดด (Sunscreen)

ควรใช้โทนเนอร์ตอนไหน

โทนเนอร์ควรใช้หลังจากล้างหน้าและก่อนลงสกินแคร์บำรุงตัวอื่น ๆ โดยใช้โทนเนอร์เช็ดเบา ๆ ทั่วใบหน้า เพื่อช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิวและเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป

ทําไมใช้โทนเนอร์แล้วสิวขึ้น

การใช้โทนเนอร์แล้วสิวขึ้นอาจเกิดจากการแพ้ส่วนผสมในโทนเนอร์ หรือโทนเนอร์ไม่เหมาะกับสภาพผิว

สรุป

การดูแลผิวด้วยสกินแคร์ที่เหมาะสม เริ่มจากการทำความสะอาดด้วยเมคอัพรีมูฟเวอร์และคลีนเซอร์ ตามด้วยการปรับสมดุลด้วยโทนเนอร์ บำรุงด้วยเอสเซนส์ เซรั่ม และมอยส์เจอไรเซอร์ พร้อมปกป้องด้วยครีมกันแดด ทั้งนี้ การเลือกผลิตภัณฑ์ควรคำนึงถึงสภาพผิวเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ผิวแพ้ง่าย หรือผิวธรรมดา Dermageneration โรงงานผลิตเครื่องสำอางคุณภาพสูง เข้าใจความต้องการที่หลากหลายของผิว พัฒนาสูตรที่เหมาะสมกับทุกสภาพผิว พร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อมอบผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับทุกคน

แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลสกินแคร์

Christal Yuen. September 21, 2023. A Guide to Taking Care of Your Skin

https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/skin-types-care